ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงในวันศุกร์ (10 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาด จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,317.52 จุด ร่วงลง 158.69 จุด หรือ -2.12%
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงในวันศุกร์รุนแรงที่สุดในรอบ 1 เดือน และร่วงลง 2.8% ในรอบสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ หุ้นลบนำตลาดได้แก่ หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ซึ่งร่วงลง 5.6% เนื่องจากราคาโลหะอุตสาหกรรมดิ่งลง หลังจากการสั่งล็อกดาวน์โควิด-19 รอบใหม่ในจีน ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์โลหะ
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ (10 มิ.ย.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 40 ปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.3% ตลาดยังคงถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (9 มิ.ย.) ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2554 ในเดือนหน้า และจะปรับมากขึ้นอีกในเดือนก.ย.
บรรดานักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกันในสัปดาห์หน้า เนื่องจากเงินเฟ้ออยู่ใกล้ระดับ 10%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับแผนการสไตรค์ของแรงงานในอังกฤษในช่วงฤดูร้อนนี้
อย่างไรก็ตาม หุ้นแกล็กโซสมิทไคล์น พุ่งขึ้น 1.6% สวนทางตลาด หลังเปิดเผยว่า วัคซีนสำหรับป้องกันไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อทางเดินหายใจ (Respiratory Syncytial Virus - RSV) นั้น ประสบความสำเร็จในการทดลองระยะสุดท้ายที่กับกลุ่มผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป