ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนในวันพฤหัสบดี (16 มิ.ย.) หลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์ทำให้เกิดความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับผลกระทบของเงินเฟ้อที่มีต่อเศรษฐกิจโลก
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 402.88 จุด ร่วงลง 10.22 จุด หรือ -2.47% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2564
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,886.24 จุด ร่วงลง 143.89 จุด หรือ -2.39%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,038.49 จุด ร่วงลง 446.80 จุด หรือ -3.31% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,044.98 จุด ร่วงลง 228.43 จุด หรือ -3.14%
ตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันอยู่แล้วจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในวันพุธ และตลาดร่วงลงในเวลาต่อมาหลังจากธนาคารกลางสวิสและธนาคารกลางอังกฤษพร้อมใจกันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลง 17.3% แล้วในปีนี้ โดยได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซา และผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ -0.25% จากระดับ -0.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 15 ปี โดย SNB ดำเนินการตามทิศทางของธนาคารกลางทั่วโลกที่พากันคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในขณะนี้
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติ 6-3 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยุโรปเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยราว 1.90% ภายในเดือนธ.ค.นี้ เมื่อเทียบกับที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.40%
หุ้นกลุ่มธนาคารรายใหญ่ในยุโรปร่วงลงตามกัน โดยหุ้นยูบีเอส และหุ้นเครดิต สวิส ร่วง 4.9% และ 6% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง 3.8% หลังบริษัท ASOS ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกแฟชั่นออนไลน์ ร่วง 32.5% หลังเตือนว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อกำลังส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการใช้จ่าย และหุ้นบูฮู (Boohoo) ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง ร่วงลง 11.3% หลังรายงานรายได้ลดลงในไตรมาสล่าสุด