ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าร่วงลงเป็นส่วนใหญ่ หลังจากที่บรรดาธนาคารกลางหลายแห่งพากันปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่า เศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 25,858.50 จุด ร่วงลง 572.70 จุด หรือ -2.17%, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,284.74 จุด ลดลง 0.65 จุด หรือ -0.02% ขณะที่ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 21,009 จุด เพิ่มขึ้น 163.57 จุด หรือ +0.78%
ธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกต่างปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 28 ปี
ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ขณะที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ -0.25% จากระดับ -0.75% ซึ่งเป็นการขึ้นครั้งแรกในรอบ 15 ปี นอกจากนี้ ธนาคารกลางฮังการี บราซิล ไต้หวัน ฮ่องกง และอาร์เจนตินา ต่างก็ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน
ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษ (Ultraeasy Monetary Policy) ในการประชุมวันนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า BOJ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกับธนาคารกลางทั่วโลกที่เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ คณะกรรมการ BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ -0.1% และคงเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีไว้ที่ประมาณ 0% โดย BOJ ยังคงควบคุมเพดานของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีไม่ให้สูงเกิน 0.25% แม้นักลงทุนคาดหวังว่า BOJ จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน เนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายได้ส่งผลให้เงินเยนทรุดตัวลงอย่างรุนแรง
หลัง BOJ แถลงมติการประชุม เงินเยนได้ทรุดตัวลงแตะระดับ 134 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับก่อนที่ BOJ จะแถลงผลการประชุมซึ่งอยู่ที่ 133 เยนต่อดอลลาร์ ขณะที่ภาวะการซื้อขายในตลาดปริวรรตเงินตราของญี่ปุ่นยังคงผันผวนอย่างมาก