ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าร่วงลงเป็นส่วนใหญ่ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดลบเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยหุ้นกลุ่มพลังงานและวัสดุร่วงลงตามราคาน้ำมันโลก ขณะที่นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังจากธนาคารกลางทั่วโลกพยายามที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 25,534.68 จุด ร่วงลง 428.32 จุด หรือ -1.65%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 21,109.16 จุด เพิ่มขึ้น 34.16 จุด หรือ +0.16% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,317.69 จุด เพิ่มขึ้น 0.90 จุด หรือ +0.03%
บรรยากาศการซื้อขายในภูมิภาคยังคงถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ระดับสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE), ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และธนาคารกลางอีกหลายประเทศต่างก็ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์ที่แล้ว
ทางด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวในการประชุมเมื่อวันศุกร์ว่า เฟดมุ่งความสนใจไปที่การทำให้เงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%
ขณะที่นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นตลอดทั้งปีนี้ และคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี นางเยลเลนกล่าวว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยรวมในสหรัฐยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง แต่ลักษณะการใช้จ่ายเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากราคาสินค้าอาหารและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเงินออมที่ภาคครัวเรือนเก็บสะสมไว้ในช่วงโควิด-19 ระบาดจะช่วยพยุงการใช้จ่าย
การแสดงความเห็นของนางเยลเลนสอดคล้องกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง
ส่วนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีที่ระดับ 3.7% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเอาไว้ที่ระดับ 4.45%