ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบ 1 ปีในวันพุธ (22 มิ.ย.) เนื่องจากการร่วงลงของราคาน้ำมันและโลหะส่งผลกระทบต่อหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่เงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นของอังกฤษทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 405.74 จุด ลดลง 2.84 จุด หรือ -0.70%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,916.63 จุด ลดลง 48.03 จุด หรือ -0.81%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,144.28 จุด ลดลง 148.12 จุด หรือ -1.11% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,089.22 จุด ลดลง 62.83 จุด หรือ -0.88%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่นับตั้งแต่เดือนก.พ. 2564 หลังจากทะยานขึ้น 3 วันติดต่อกัน ขณะที่บรรดานักลงทุนวิตกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อนั้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรง
ดัชนี STOXX 600 ร่วงลง 18.8% แล้วจากระดับปิดสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 4 ม.ค. โดยถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย, สงครามในยูเครน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษพุ่งแตะ 9.1% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี โดยตอกย้ำความรุนแรงของวิกฤติค่าครองชีพในอังกฤษ
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ร่วงลง 3.7% เนื่องจากราคาน้ำมันดิ่งลงมากกว่า 6 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐผลักดันการปรับลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ร่วงลง 4.1% เนื่องจากราคาโลหะถูกกดดันจากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และจากความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ส่วนหุ้นเทเลคอมและหุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัย ปรับตัวลงน้อยที่สุด
หุ้นบีเอเอสเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ของเยอรมนี ร่วง 5.2% หลังซีอีโอเปิดเผยว่า บริษัทมีแนวโน้มเผชิญกับการชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
หุ้นบริษัทเหล็กของยุโรปร่วงลงตามกัน อาทิ อาร์เซลอร์มิตตัล, โวเอสทัลไพน์ และซัลซ์กิทเทอร์ ร่วง 8.3-13.5% หลังเจพีมอร์แกนปรับลดคำแนะนำลงทุนหุ้นดังกล่าว โดยระบุว่า ราคาเหล็กยังไม่แตะระดับต่ำสุด