ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในวันนี้ นำโดยหุ้นกลุ่มเปิดเมือง ขานรับจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19
ณ เวลา 20.46 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 31,793.02 จุด บวก 354.76 จุด หรือ 1.13%
หุ้นกลุ่มเปิดเมือง เช่น สายการบิน เรือสำราญ โรงแรม และกาสิโน ต่างพุ่งขึ้นในการซื้อขายวันนี้ ขานรับจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19
ทั้งนี้ จีนประกาศลดระยะเวลากักตัวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในสถานที่ซึ่งรัฐบาลจัดเตรียมไว้เหลือเพียง 7 วัน จากเดิม 14 วัน ส่วนการกักตัวที่บ้านพักหลังจากนั้นได้ลดลงเหลือเพียง 3 วัน จากเดิม 7 วัน
การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวมีขึ้น หลังจากนครเซี่ยงไฮ้และกรุงปักกิ่งประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นเช่นกัน โดยมีการประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่าธนาคารส่วนใหญ่ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test)
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ดิ่งลงในสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงตามที่มีความวิตกก่อนหน้านี้
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุดที่ 3.50% ในปลายปี 2565 ซึ่งลดลงจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 3.75%
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงฤดูร้อนของปี 2566
ตลาดขานรับการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะ 5.3% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ซึ่งแม้สูงกว่าระดับ 4.2% ที่มีการสำรวจในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ต่ำกว่าระดับ 5.4% ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นที่มีการสำรวจเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
สำหรับในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 3.1% แม้ว่าสูงกว่าระดับ 2.8% ที่มีการสำรวจในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ต่ำกว่าระดับ 3.3% ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นที่มีการสำรวจเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว และอยู่ในช่วง 2.9-3.1% ที่มีการสำรวจในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/65 ของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.5% จากเดิมรายงานว่าหดตัวเพียง 1.4% ในตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.3%
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวในไตรมาส 1/65 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยในช่วงต้นปี 2563 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
หากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวต่อไปในไตรมาส 2/65 ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
ในการประชุมนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. เฟดได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.8% ในเดือนมี.ค.
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ บ่งชี้ว่า ราคาบ้านในสหรัฐได้เริ่มชะลอตัวในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 20.4% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าระดับ 20.6% ในเดือนมี.ค.
ส่วนดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 21.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 21.1% ในเดือนมี.ค.
อย่างไรก็ดี มีเพียง 9 ใน 20 เมืองที่รายงานราคาบ้านเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เมืองส่วนใหญ่ใน 20 เมืองรายงานการเพิ่มขึ้นของราคาบ้าน
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองดีดตัวขึ้น ส่งผลให้ยอดขายบ้านและราคาบ้านปรับตัวลง ขณะที่สต็อกบ้านเริ่มเพิ่มมากขึ้น