ดัชนีดาวโจนส์พลิกร่วงลงสู่แดนลบ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แม้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงก็ตาม
ณ เวลา 00.22 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 30,924.26 จุด ลบ 22.73 จุด หรือ 0.07% หลังพุ่งขึ้นกว่า 100 จุดก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวยืนยันว่า เฟดมีความมุ่งมั่นในการสกัดเงินเฟ้อ แม้การใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินจะชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็จะไม่สร้างความเสี่ยงที่รุนแรง
"เรามีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่เรามีเพื่อทำให้เงินเฟ้อปรับตัวลง ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็คือการลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยง แต่ผมก็มองว่านี่ไม่ใช่ความเสี่ยงใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจ โดยความผิดพลาดมากกว่าที่อาจเกิดขึ้นก็คือความล้มเหลวในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา" นายพาวเวลกล่าวในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จัดขึ้นที่โปรตุเกสในวันนี้
"เราจะป้องกันไม่ให้ภาวะเงินเฟ้อต่ำกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อสูง โดยในระยะสั้น เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งเพื่อสกัดราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เฟดจะต้องสกัดคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวเพื่อไม่ให้การคาดการณ์ดังกล่าวฝังแน่นในความคิดของผู้บริโภคจนกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้นจริงตามคาด" นายพาวเวลกล่าว
ทั้งนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะพุ่งแตะ 5.3% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า โดยสูงกว่าระดับ 4.2% ที่มีการสำรวจในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
สำหรับในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะพุ่งแตะระดับ 3.1% โดยสูงกว่าระดับ 2.8% ที่มีการสำรวจในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังผิดหวังต่อการเปิดเผยตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 1/65
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/65 ในวันนี้ โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.6% จากเดิมที่รายงานว่าหดตัวเพียง 1.4% และ 1.5% ในตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และ 2 ตามลำดับ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.5% ในไตรมาส 1/65
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวในไตรมาส 1/65 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เศรษฐกิจเผชิญภาวะถดถอยในช่วงต้นปี 2563 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
หากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวต่อไปในไตรมาส 2/65 ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากมีการหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
เมื่อพิจารณาในปี 2564 เศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 6.3% ในไตรมาส 1 และ 6.7% ในไตรมาส 2 ก่อนที่จะชะลอตัวสู่ 2.3% ในไตรมาส 3 เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่เศรษฐกิจสหรัฐกลับมามีการขยายตัว 6.9% ในไตรมาส 4
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงเกือบ 500 จุดวานนี้ หลังดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐทรุดตัวลงอย่างหนัก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจถดถอย
พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายสำหรับการซื้อขายในช่วงครึ่งปีแรก โดยขณะนี้ดัชนี S&P 500 ดิ่งลง 20% นับตั้งแต่ต้นปี และมีแนวโน้มทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 มีแนวโน้มปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในไตรมาส 2 นับตั้งแต่ปี 2563 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551