ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทรงตัวในวันจันทร์ (11 ก.ค.) เนื่องจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าและการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มปลอดภัยได้ช่วยหนุนตลาด แต่ความวิตกเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งใหม่ในจีน ซึ่งถ่วงหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง และวิกฤตพลังงานในยุโรปก็ยังคงกดดันตลาด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,196.59 จุด เพิ่มขึ้น 0.35 จุด หรือ +0.001%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง อาทิ หุ้นแองโกล อเมริกัน, แอนโทฟากัสตา และเกล็นคอร์ ร่วงลง 1.2-4.1% หลังจากราคาโลหะร่วงลงจากรายงานข่าวที่ว่า หลายเมืองในจีนเริ่มกลับมาใช้มาตรการควบคุมโควิดครั้งใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอุปสงค์โลหะของจีนซึ่งเป็นผู้ใช้โลหะรายใหญ่
แต่หุ้นกลุ่มพลังงานของอังกฤษ อาทิ เซนทริกา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตก๊าซ พุ่งขึ้นมากกว่า 3% โดยได้แรงหนุนจากการที่นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษเปิดเผยว่า รัฐบาลยังไม่มีแผนที่จะเก็บภาษีลาภลอย (windfall tax) จากผลกำไรของบริษัทพลังงาน
ปอนด์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ซึ่งช่วยหนุนดัชนี FTSE 100 ที่ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มส่งออกส่วนใหญ่
วิกฤตค่าครองชีพและความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของอังกฤษ แต่ดัชนี FTSE 100 ก็ยังคงปรับตัวดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์, หุ้นกลุ่มปลอดภัย และเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวลง โดยหุ้นวิซซ์ แอร์ ร่วง 3.7% หลังเปิดเผยว่าอาจลดการใช้เครื่องบินในช่วงฤดูร้อนเนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงานและการสไตรก์ที่สนามบินในยุโรป ขณะที่หุ้นไอเอจีซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินบริติช แอร์เวย์ส ร่วงลง 5.8%