ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าร่วงลงต่ำสุดในรอบสองปี เนื่องจากนักลงทุนกังวลถึงแนวโน้มที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ จะคุมเข้มนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ในจีน รวมถึงวิกฤตการขาดแคลนพลังงานในยุโรป ซึ่งส่งผลให้เงินยูโรอ่อนค่าลง
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 26,362.76 จุด ร่วงลง 449.54 จุด หรือ -1.68%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 20,869.09 จุด ลดลง 255.11 จุด หรือ -1.21% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,280.20 จุด ลดลง 33.38 จุด หรือ -1.01%
ส่วนดัชนี MSCI Asia Pacific (ไม่รวมญี่ปุ่น) ร่วงลง 0.8% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี
ตลาดจับตาสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือนมิ.ย.ในวันพุธนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี CPI จะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 8.6% ของเดือนพ.ค. ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง
ทางด้านยุโรปกำลังเผชิญวิกฤตพลังงาน หลังจากที่บริษัท Nord Stream AG ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการท่อส่ง Nord Stream 1 ประกาศยืนยันว่า ทางบริษัทได้เริ่มปิดท่อส่งดังกล่าววานนี้ (11 ก.ค.) เพื่อทำการซ่อมบำรุงจนถึงวันที่ 21 ก.ค. โดยท่อส่ง Nord Stream 1 ส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมายังเยอรมนีผ่านทางทะเลบอลติก
อย่างไรก็ดี มีความวิตกกันว่ารัสเซียจะยังคงตัดการส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรป แม้ Nord Stream 1 เสร็จสิ้นการซ่อมบำรุงในวันที่ 21 ก.ค.
ส่วนความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในภุมิภาควันนี้ สถาบันเวสแพค-เมลเบิร์น อินสทิทิวต์ เผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของออสเตรเลียในเดือนก.ค. ปรับตัวลง 3.0% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และร่วงลง 23% เมื่อเทียบกับเป็นรายปี แตะที่ระดับ 83.8 โดยดัชนีที่ต่ำกว่า 100 บ่งชี้ว่าจำนวนผู้บริโภคที่มีมุมมองในด้านลบต่อเศรษฐกิจนั้น มีมากกว่าจำนวนผู้บริโภคที่มีมุมมองเป็นบวก
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคออสเตรเลียปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน เนื่องจากผู้บริโภควิตกกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น