ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพุธ (13 ก.ค.) เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเกินคาดของสหรัฐทำให้มีการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงขึ้น และยังสร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลางยุโรป (ECB) ด้วย หลังจากยูโรร่วงลงสู่ระดับต่ำกว่า 1 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 412.81 จุด ลดลง 4.23 จุด หรือ -1.01%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,000.24 จุด ลดลง 43.96 จุด หรือ -0.73%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,756.32 จุด ลดลง 149.16 จุด หรือ -1.16% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,156.37 จุด ลดลง 53.49 จุด หรือ -0.74%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลง หลังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐพุ่งขึ้น 9.1% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นรายปีมากที่สุดในรอบกว่า 40 ปี หลังจากราคาน้ำมันเบนซิน, อาหารและค่าเช่าพุ่งขึ้น
ข้อมูล CPI ของสหรัฐสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.75% ในเดือนก.ค.
ยูโรร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี ส่งผลให้มีการคาดการณ์กันว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2544 เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 8.6%
การอ่อนค่าของยูโรยิ่งเร่งปัญหาเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วอาจเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจยูโรโซนที่เผชิญกับแนวโน้มถดถอย, การขาดแคลนก๊าซ และราคาพลังงานที่ระดับสูง ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ร่วงลง 15.4% แล้วในปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
หุ้นกลุ่มรถยนต์ รวมถึงกลุ่มก่อสร้างและวัสดุ ร่วงลงมากที่สุด โดยร่วงลง 2.3% และ 1.8% ตามลำดับ