ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันพฤหัสบดี (14 ก.ค.) โดยหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคารถ่วงตลาดลง ท่ามกลางความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 406.50 จุด ลดลง 6.31 จุด หรือ -1.53%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,915.41 จุด ลดลง 84.83 จุด หรือ -1.41%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,519.66 จุด ลดลง 236.66 จุด หรือ -1.86% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,039.81 จุด ลดลง 116.56 จุด หรือ -1.63%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ระดับสูง ซึ่งอาจจะกระตุ้นให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.75% ในเดือนนี้
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงราว 16% แล้วในปีนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการที่ธนาคารกลางต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้และปีหน้า และปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อ
การที่ยูโรร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1 ดอลลาร์ สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปีนั้นได้เพิ่มปัญหาเกี่ยวกับเงินเฟ้อในยูโรโซน
นักลงทุนจะจับตาการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า และรอฟังความเห็นเกี่ยวกับการร่วงลงของยูโร, เครื่องมือในการควบคุมส่วนต่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยูโรโซน, การคาดการณ์เงินเฟ้อ และการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลง 3.4% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2563 หลังพรรคไฟว์-สตาร์ มูฟเมนต์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลไม่เข้าร่วมลงคะแนนไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงมาตรการที่จะแก้ไขวิกฤตค่าครองชีพ
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ รวมถึงกลุ่มเหมืองแร่ ร่วงลง 3.8% ตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ขณะที่กลุ่มธนาคาร ร่วงลง 3.1% ส่วนหุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการ ปรับตัวขึ้น 0.5%
หุ้นรายตัวที่บวกขึ้นสวนตลาดรวมถึงหุ้น ฮิวโก้ บอส พุ่งขึ้น 2.4% หลังปรับเพิ่มแนวโน้มรายได้ในปีนี้