ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (15 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มรถยนต์และกลุ่มค้าปลีก หลังจากตลาดร่วงลง 2 วันติดต่อกันท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ, วิกฤตการเมืองในอิตาลี และภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 413.78 จุด เพิ่มขึ้น 7.28 จุด หรือ +1.79% แต่ปรับตัวลง 0.8% ในรอบสัปดาห์นี้
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,036.00 จุด เพิ่มขึ้น 120.59 จุด หรือ +2.04%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,864.72 จุด เพิ่มขึ้น 345.06 จุด หรือ +2.76% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,159.01 จุด เพิ่มขึ้น 119.20 จุด หรือ +1.69%
ตลาดหุ้นอิตาลีฟื้นตัวขึ้น หลังร่วงต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ขณะที่นักลงทุนรอดูความคืบหน้าของวิกฤตการเมืองในประเทศ
นายเซอร์จิโอ แมตตาเรลลา ประธานาธิบดีอิตาลีปฏิเสธการยื่นลาออกของนายมาริโอ ดรากี นายกรัฐมนตรีของอิตาลีในวันพฤหัสบดี และขอให้นายดรากีชี้แจงต่อรัฐสภาในสัปดาห์หน้า
ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงในช่วง 2 วันที่ผ่านมาจากความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 1% ในเดือนนี้
แต่ความวิตกดังกล่าวได้ลดลง หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดสองรายเปิดเผยในวันศุกร์ว่า พวกเขาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
ตลาดได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า ท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 1 จากรัสเซียไปยังเยอรมนีจะเปิดทำการอีกครั้งในวันที่ 21 ก.ค.นี้ หลังปิดดำเนินการเพื่อซ่อมบำรุงในสัปดาห์นี้
นักลงทุนจะจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%
หุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้นตามกัน โดยหุ้นโฟลค์สวาเกน พุ่งขึ้น 3.5% หลังสาขาในจีนยืนยันเป้าหมายเพิ่มยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสองเท่าในปีนี้ แม้เผชิญภาวะชะงักงันจากโรคโควิด-19 ก็ตาม
หุ้นเมอร์เซเดส-เบนซ์, หุ้นปอร์เช่ ออโตโมบิล และหุ้นเรโนลต์ พุ่งขึ้น 4.3-6.9%