ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 700 จุดในวันอังคาร (19 ก.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงบริษัทฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,827.05 จุด พุ่งขึ้น 754.44 จุด หรือ +2.43%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,936.69 จุด เพิ่มขึ้น 105.84 จุด หรือ +2.76% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,713.15 จุด เพิ่มขึ้น 353.10 จุด หรือ +3.11%
บรรยาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทฮัลลิเบอร์ตันเปิดเผยกำไรไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 41% และคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทจะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นอีก เนื่องจากความต้องการการขุดเจาะน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนราคาหุ้นฮัลลิเบอร์ตันปิดตลาดพุ่งขึ้น 2.11%
บริษัทฮาสโบร ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 10% แตะที่ 1.15 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 94 เซนต์ ซึ่งช่วยหนุนราคาหุ้นฮาสโบรปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.71%
หุ้นทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล (Truist Financial) และหุ้นซิติเซ่นส์ ไฟแนนเชียล (Citizens Financial) ปิดตลาดพุ่งขึ้น 2.55% และ 1.94% ตามลำดับ หลังจากสถาบันการเงินทั้งสองแห่งเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีมุมมองบวกต่อภาคธนาคาร หลังจากที่ก่อนหน้านี้ โกลด์แมน แซคส์เปิดเผยผลประกอบการสูงเกินคาดในไตรมาส 2
หุ้นธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐปิดในแดนบวก โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ทะยานขึ้น 5.46% หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 2.48% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 3.43% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 4.11% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 3.38%
หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 5.69% ขานรับรายงานที่ว่า เดลตา แอร์ไลน์ สั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งรุ่น 737 MAX จำนวนกว่า 130 ลำ เพื่อรองรับความต้องการด้านการเดินทางที่สูงขึ้น
ขณะนี้บริษัทราว 9% ในดัชนี S&P 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว ซึ่งราว 66% ในจำนวนดังกล่าวได้รายงานกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะมีกำไรเพิ่มขึ้น 4.2% ในไตรมาส 2 ขณะที่รายได้พุ่งขึ้น 10.2% รวมทั้งมีกำไรเพิ่มขึ้น 9.9% ในปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 2% ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 1.559 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2564 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.580 ล้านยูนิต จากระดับ 1.591 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. ทั้งนี้ ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และราคาวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งการขาดแคลนแรงงาน