ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพุธ (20 ก.ค.) หลังบวกขึ้น 3 วันติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับปริมาณการส่งก๊าซจากรัสเซียไปยังยุโรป และตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลง ท่ามกลางวิกฤตการเมืองจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากี
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 422.51 จุด ลดลง 0.90 จุด หรือ -0.21%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,184.66 จุด ลดลง 16.56 จุด หรือ -0.27%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,281.98 จุด ลดลง 26.43 จุด หรือ -0.20% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,264.31 จุด ลดลง 31.97 จุด หรือ -0.44%
ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลง นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่นายดรากีได้เรียกร้องให้สภาสูงจัดการลงมติไม่ไว้วางใจซึ่งจะเป็นการตัดสินชี้ขาดว่ารัฐบาลผสมของเขาจะยังคงบริหารประเทศต่อไปได้หรือไม่
ด้านประธานาธิบดีเซอร์จิโอ แมตตาเรลลาของอิตาลีได้เรียกร้องให้นายดรากีทบทวนการยื่นขอลาออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากพรรคไฟว์-สตาร์คว่ำบาตรการลงมติไม่ไว้วางใจ ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดของเดือนพ.ย. 2563
ปัจจัยลบที่กดดันตลาดยังมาจากรายงานข่าวที่ว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้แจ้งกับประเทศสมาชิกว่า ให้ลดการใช้ก๊าซลง 15% จนถึงเดือนมี.ค. ซึ่งถือเป็นมาตรการฉุกเฉิน หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียเตือนว่า ปริมาณก๊าซที่รัสเซียส่งไปยังยุโรปอาจลดลงอีก และอาจหยุดการส่งก๊าซ
ความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตพลังงานตึงตัวในยุโรป, ยูโรที่อ่อนค่าลง และแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยนั้น เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาด โดยดัชนี STOXX 600 ร่วงลง 13.4% แล้วในปีนี้
นักลงทุนจะจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าอาจมีการหารือถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%
นอกจากนี้ นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นรายตัว อาทิ หุ้นเฮลโลเฟรช บริษัทบริการด้านการทำอาหารของเยอรมนี ร่วงลง 9.4% หลังปรับลดคาดการณ์แนวโน้มผลกำไรในปีนี้ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง และสงครามในยูเครน และหุ้นของบริษัทวอลโว คาร์ ร่วง 5.2% หลังเปิดเผยแนวโน้มยอดขายลดลงในปีนี้