ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (22 ก.ค.) โดยปรับตัวขึ้นในสัปดาห์นี้มากที่สุดในรอบ 2 เดือน เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะขาดแคลนพลังงาน, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง และวิกฤตการเมืองในอิตาลี
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 425.71 จุด เพิ่มขึ้น 1.32 จุด หรือ +0.31%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,216.82 จุด เพิ่มขึ้น 15.71 จุด หรือ +0.25%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,253.68 จุด เพิ่มขึ้น 7.04 จุด หรือ +0.05% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,276.37 จุด เพิ่มขึ้น 5.86 จุด หรือ +0.08%
ดัชนี STOXX 600 ปิดบวกที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. และพุ่งขึ้นเกือบ 2.9% ในรอบสัปดาห์นี้
นักลงทุนปรับลดคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจของยูโรโซนหดตัวลงเกินคาดในเดือนก.ค.
เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยในวันศุกร์ว่า กิจกรรมภาคการผลิตของยูโรโซนหดตัวลงเกินคาดในเดือนก.ค. โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงสู่ระดับ 49.6 จุดในเดือนก.ค. จากระดับ 52.1 จุดในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 25 เดือน และต่ำกว่าการคาดการณ์ที่ระดับ 51.0
บรรดาเทรดเดอร์คาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.05% ภายในเดือนธ.ค.ปีนี้ ลดลงจากราว 1.20% ก่อนการเปิดเผยข้อมูล PMI ดังกล่าว
นายปีเตอร์ คาซิเมียร์ ผู้กำหนดนโยบายของ ECB ระบุในวันศุกร์ว่า ECB อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับขึ้น 0.50% เมื่อวันพฤหัสบดี (21 ก.ค.) เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี
หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ นำโดยหุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์, กลุ่มสาธารณูปโภค รวมถึงกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานบวก 1.2% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น แต่หุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อาทิ กลุ่มธนาคาร ลดลง 1.2%
ตลาดหุ้นอิตาลีฟื้นตัวขึ้น หลังจากปรับตัวผันผวน เนื่องจากการลาออกของนายกรัฐมนตรีมาริโอ ดรากีในวันพฤหัสบดี โดยอิตาลีเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศในวันที่ 25 ก.ย.
นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนหนุนหุ้นรายตัวพุ่งขึ้น โดยหุ้นจัสต์ อีต เทคอะเวย์ ของเนเธอร์แลนด์ พุ่งขึ้น 13.8% หลังบริษัทดีลิเวอรี ฮีโรของเยอรมนีคาดการณ์ยอดขาดทุนลดลง
หุ้นนอร์สก ไฮโดร ผู้ผลิตอะลูมิเนียมของนอร์เวย์ พุ่งขึ้น 6.4% หลังเสนอจ่ายเงินปันผลพิเศษและซื้อหุ้นคืน