ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ
ณ เวลา 20.11 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 154 จุด หรือ 0.47% สู่ระดับ 32,671 จุด
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 6.7% ในเดือนก.ค. ส่วนดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 9.1% และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 12.4% โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ทำสถิติพุ่งขึ้นรายเดือนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2563 และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2563
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ รวมทั้งรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.1% ในไตรมาส 3
การคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.9% หลังจากเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า GDP หดตัว 1.6% ในไตรมาส 1
การที่เศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย "ทางเทคนิค" โดยเข้าเกณฑ์นิยามของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ดี นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เขาไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากหลายภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจยังคงมีความแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงตลาดแรงงาน
ที่ผ่านมา สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐ (NBER) ถือเป็นหน่วยงานที่จะตัดสินเกี่ยวกับการขยายตัวหรือการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยจะมีการพิจารณาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การจ้างงาน การบริโภค การผลิตในภาคอุตสาหกรรม และรายได้ส่วนบุคคล ก่อนที่จะทำการประกาศอย่างเป็นทางการ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินอีก 3 ครั้งที่เหลือในปีนี้ ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.ปีหน้า
ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 68.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 63.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. และให้น้ำหนัก 49.50% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 46.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.2566
ส่วนในการประชุมวันที่ 14-15 มี.ค.2566 นักลงทุนให้น้ำหนัก 30.9% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%