ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดร่วงลงกว่า 100 จุด โดยได้รับผลกระทบจากความกังวลต่อผลประกอบการของบริษัทค้าปลีก และยอดขายบ้านมือสองที่อ่อนแอ
ณ เวลา 21.07 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,877.40 จุด ลบ 102.92 จุด หรือ 0.30%
หุ้นพลังงานพุ่งขึ้นสวนทางตลาด สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นในวันนี้
ราคาหุ้นของบริษัทโคห์ลส์ คอร์ป ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 6% หลังบริษัทปรับลดคาดการณ์ยอดขายและกำไรประจำปีนี้ แม้บริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไรและรายได้ในไตรมาส 2 สูงกว่าคาด
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองดิ่งลง 5.9% สู่ระดับ 4.81 ล้านยูนิตในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2563 โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.89 ล้านยูนิต
นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนก.ย. หลังเฟดส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรายงานการประชุมเดือนก.ค.
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 61.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 2.75-3.00% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 38.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
ทั้งนี้ เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 26-27 ก.ค.เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า กรรมการเฟดมีความมุ่งมั่นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเท่าที่จำเป็น จนกว่าจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อ แต่ในขณะเดียวกัน เฟดส่งสัญญาณว่าอาจชะลอการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยตระหนักว่าเศรษฐกิจสหรัฐในขณะนี้มีความเสี่ยงที่จะเผชิญช่วงขาลง
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า มีแนวโน้มว่าเฟดอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. หลังรายงานการประชุมเฟดระบุว่า "เมื่อพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการประเมินว่า การดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงินส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร เฟดจึงมองว่า อาจเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฟดอาจปรับขึ้น 0.50% หรืออาจปรับขึ้นเพียง 0.25% จากที่เคยปรับขึ้นรุนแรงถึง 0.75% ในการประชุมเดือนมิ.ย.และก.ค."
สำหรับการประชุมนโยบายการเงินของเฟดเมื่อวันที่ 26-27 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการเฟดมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน และถือเป็นการดำเนินการที่เข้มงวดที่สุดนับตั้งแต่ที่เฟดกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นเครื่องมือสำคัญด้านนโยบายการเงินในช่วงทศวรรษ 1990 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนี้อยู่ที่ระดับ 2.25-2.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2561
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 250,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 265,000 ราย
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้นสู่ระดับ +6.2 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -5.0 จากระดับ -12.3 ในเดือนก.ค.
ดัชนีอยู่เหนือระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกมีการขยายตัว
อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตยังคงถูกกดดันจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ ซึ่งปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ขณะที่นักลงทุนลดความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า