ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (18 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มน้ำมัน แต่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ เนื่องจากถูกกดดันจากเงินเฟ้อของยูโรโซนที่แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.ค. และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากอีกครั้งในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 440.76 จุด เพิ่มขึ้น 1.73 จุด หรือ +0.39%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,557.40 จุด เพิ่มขึ้น 29.08 จุด หรือ +0.45%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,697.41 จุด เพิ่มขึ้น 70.70 จุด หรือ +0.52% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,541.85 จุด เพิ่มขึ้น 26.10 จุด หรือ +0.35%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้น 1.7% หลังสัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมากกว่า 1 ดอลลาร์
แต่ตลาดยังคงถูกกดดัน หลังสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (EU) ยืนยันว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซน เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือนในเดือนก.ค.และเพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งยูโรโซนในปี 2542 โดย 4.02 จุดเปอร์เซ็นต์ (percentage points) นั้นมาจากราคาพลังงานที่แพงขึ้น หลังจากรัสเซียรุกรานยูเครน
อิซาเบล ชนาเบล กรรมการ ECB กล่าวว่า แนวโน้มเงินเฟ้อของยูโรโซนยังคงเพิ่มขึ้น นับตั้งแต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค. และส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากอีกครั้งในเดือนก.ย.
ตลาดการเงินคาดการณ์ในขณะนี้ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในเดือนก.ย. และคาดว่ามีโอกาส 35% ที่ ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%
ส่วนธนาคารกลางนอร์เวย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีก
หุ้นรายตัวที่ปรับตัวลง อาทิ หุ้นร็อกวูล ซึ่งเป็นบริษัทผลิตฉนวนใยหิน (stone-wool) ของเดนมาร์ก ร่วงลง 8.3% หลังปรับลดแนวโน้มผลกำไรปีนี้ลง เนื่องจากราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น
หุ้นอาเดียน ซึ่งเป็นบริษัทประมวลผลการชำระเงินของเนเธอร์แลนด์ ร่วงลง 3.7% หลังเปิดเผยรายได้หลักครึ่งปีแรกต่ำกว่าการคาดการณ์