ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (25 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มน้ำมันและกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้น แม้ความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตพลังงานที่อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้นได้สกัดกั้นการปรับตัวขึ้นของตลาดก็ตาม
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 433.36 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด หรือ +0.30%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,381.56 จุด ลดลง 5.20 จุด หรือ -0.08%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,271.96 จุด เพิ่มขึ้น 51.90 จุด หรือ +0.39% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,479.74 จุด เพิ่มขึ้น 8.23 จุด หรือ +0.11%
หุ้นกลุ่มพลังงาน พุ่งขึ้น 1.2% สู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 12 สัปดาห์ เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นจากความวิตกเกี่ยวกับอุปทาน
รัสเซียจะยุติการส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรปผ่านท่อส่งนอร์ดสตรีม 1 เป็นเวลา 3 วันนับตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อภูมิภาคยุโรป ซึ่งต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซก่อนถึงฤดูหนาว
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวขึ้น 1.0% โดยปรับตัวตามหุ้นกลุ่มเดียวกันของสหรัฐ ขณะที่จุดสนใจของตลาดอยู่ที่การประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิงในสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวขึ้น หลังข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.1% ในไตรมาส 2 ซึ่งสูงเกินคาด และผลสำรวจบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจะหดตัวลงในไตรมาส 3 ขณะที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงในเดือนส.ค.
อย่างไรก็ตาม ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงราว 11% แล้วในปีนี้ ขณะที่ตลาดประเมินผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตพลังงาน
ผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่า ดัชนี STOXX 600 อาจจะปรับตัวลงสู่ระดับ 425 จุดภายในสิ้นปีนี้
ส่วนการเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) บ่งชี้ว่า ผู้กำหนดนโยบายดูเหมือนมีความวิตกมากขึ้นว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ระดับสูงขณะที่ยูโรโซนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดการเงินคาดการณ์ในขณะนี้ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ภายในเดือนต.ค. โดยในเดือนก.ย.นั้น ECB อาจปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% และมีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75%