ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันศุกร์ (26 ส.ค.) นำโดยตลาดหุ้นเยอรมนี เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกับการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ย้ำถึงจุดยืนในการคุมเข้มนโยบายการเงิน
ทั้งนี้ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 426.09 จุด ลดลง 7.27 จุด หรือ -1.68% และปิดลดลง 2.6% ในรอบสัปดาห์นี้
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,274.26 จุด ลดลง 107.30 จุด หรือ -1.68%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,971.47 จุด ร่วงลง 300.49 จุด หรือ -2.26% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,427.31 จุด ลดลง 52.43 จุด หรือ -0.70%
ตลาดหุ้นเยอรมนีร่วงลง 4.2% ในรอบสัปดาห์นี้ และเป็นสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบมากกว่า 2 เดือน หลังการเปิดเผยผลสำรวจบ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีจะร่วงลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันในเดือนก.ย. เนื่องจากภาคครัวเรือนเผชิญกับราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดัน หลังจากนายพาวเวลระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐจำเป็นต้องมีนโยบายการเงินที่คุมเข้มไปอีกระยะหนึ่งเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอการขยายตัว ตลาดแรงงานอ่อนแอลง และส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยูโรโซนปรับตัวขึ้น หลังการแสดงความเห็นของนายพาวเวล และจากรายงานที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจหารือถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนก.ย.
หุ้นที่ร่วงลงมากที่สุดได้แก่ กลุ่มค้าปลีก รวมถึงกลุ่มเดินทางและนันทนาการ ซึ่งร่วงลงราว 3.5%
ส่วนหุ้นรายตัวที่ปรับตัวลง อาทิ หุ้นคาร์ลสเบิร์ก บริษัทเบียร์ของเดนมาร์ก ลดลง 0.3% หลังเปิดเผยว่า บริษัทในเครือที่โปแลนด์อาจปรับลดหรือยุติการผลิตเบียร์ เนื่องจากไม่มีการส่งมอบคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใช้ในการผลิต