ดัชนีดาวโจนส์พลิกร่วงลงกว่า 100 จุด หลุดแนว 32,000 จุด โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงปรับตัวลง ต่อเนื่องจากที่ร่วงลงติดต่อกัน 2 วัน
ณ เวลา 21.27 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 31,951.36 จุด ลบ 147.63 จุด หรือ 0.46%
ราคาหุ้นปรับตัวลงทุกกลุ่ม นำโดยกลุ่มพลังงานตามการดิ่งลงของราคาน้ำมันในวันนี้
ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงเกือบ 1,200 จุดในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย
นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฟดจะยังคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐ
นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า หลังจากเสร็จสิ้นการใช้มาตรการปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ถ้อยแถลงของนายพาวเวลส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนก.ย.
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 70.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนักเพียง 29.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ บ่งชี้ว่า ราคาบ้านในสหรัฐได้เริ่มชะลอตัวในเดือนมิ.ย.
ทั้งนี้ ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 18.0% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าระดับ 19.9% ในเดือนพ.ค.
ส่วนดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 20.5% ในเดือนพ.ค.
ราคาบ้านเพิ่มขึ้นสูงสุดในเมืองแทมปา ไมอามี และดัลลัส
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองดีดตัวขึ้น ส่งผลให้ยอดขายบ้านและราคาบ้านปรับตัวลง ขณะที่สต็อกบ้านเริ่มเพิ่มมากขึ้น