ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดในวันพุธ (7 ก.ย.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลง ซึ่งช่วยหนุนแรงซื้อหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth Stock) รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น Defensive ซึ่งเป็นหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,581.28 จุด เพิ่มขึ้น 435.98 จุด หรือ +1.40%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,979.87 จุด เพิ่มขึ้น 71.68 จุด หรือ +1.83% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,791.90 จุด เพิ่มขึ้น 246.99 จุด หรือ +2.14%
หุ้นกลุ่มเติบโตซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ดีดตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเทสลา ทะยานขึ้น 3.38% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ดีดขึ้น 1.17% หุ้นแอมะซอน พุ่งขึ้น 2.67% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 1.91% หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 3.77% หุ้นราล์ฟ ลอเรน พุ่งขึ้น 3.28%
หุ้นแอปเปิล ดีดตัวขึ้น 0.93% หลังแอปเปิลประกาศเปิดตัว iPhone 14 Series จำนวน 4 รุ่นในงานอีเวนต์ "Far Out" โดย iPhone 14 Series มาพร้อมกับฟีเจอร์ Emergency SOS via Stellite ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความฉุกเฉินผ่านระบบดาวเทียม แม้อยู่ในสถานที่ซึ่งห่างไกลและไม่มีสัญญาณมือถือหรือ WiFi
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การมีฟีเจอร์ Emergency SOS จะทำให้บรรดาสาวกของแอปเปิลให้การตอบรับต่อ iPhone 14 อย่างคึกคัก
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม Defensive เช่นหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มสาธารณูปโภค ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 0.51% หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ บวก 0.61% หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ เพิ่มขึ้น 0.16% หุ้นพีจีแอนด์อี พุ่งขึ้น 4.09% หุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น พุ่งขึ้น 2.78%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงกว่า 5% โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.88% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 1.72% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.28% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.85%
นักลงทุนยังคงจับตาการแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยในวันนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดจะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของสถาบันคาโต (Cato Institute)
ส่วนเมื่อวานนี้ นางลาเอล เบรนาร์ด รองประธานเฟดกล่าวว่า "เฟดจะยังคงใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินต่อไปเป็นระยะเวลานานเท่าที่จะทำได้เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อ่อนตัวลง โดยการใช้นโยบายการเงินของเฟดอาจสร้างความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เฟดก็จะทำการประเมินทั้งสองด้าน แต่ในขณะนี้ เฟดจะใช้นโยบายการเงินที่คุมเข้มเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%"