ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันพุธ (14 ก.ย.) หลังการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐที่สูงเกินคาดในสัปดาห์นี้ตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมาก แต่การทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มน้ำมันและกลุ่มค้าปลีกได้ช่วยพยุงตลาด
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 417.51 จุด ลดลง 3.62 จุด หรือ -0.86%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,222.41 จุด ลดลง 23.28 จุด หรือ -0.37%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,028.00 จุด ลดลง 160.95 จุด หรือ -1.22% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,277.30 จุด ลดลง 108.56 จุด หรือ -1.47%
การเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐที่สูงเกินคาดในเดือนส.ค.สนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 ในการประชุมวันพุธหน้า
ตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกกดดันจากข้อมูลดังกล่าว แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวขึ้นในวันพุธก็ตาม
ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในสัปดาห์ที่ผ่านมาและส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีกเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่, กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคถ่วงตลาดลงมากที่สุด
แต่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 0.8% ตามราคาน้ำมัน หลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดว่าจะมีการเปลี่ยนไปใช้น้ำมันแทนก๊าซมากขึ้นในฤดูหนาวนี้ เนื่องจากราคาก๊าซพุ่งสูง
หุ้นกลุ่มค้าปลีก พุ่งขึ้น 0.8% ด้วย โดยได้แรงหนุนจากหุ้นอินดิเทกซ์ เจ้าของแบรนด์ซาร่า ซึ่งพุ่งขึ้น 3.8% หลังรายงานยอดขายรอบ 6 เดือนพุ่งขึ้น 24.5% และกำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ส่วนหุ้นรายตัวที่ร่วงลง อาทิ หุ้นไอเบอร์โดรลา ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของสเปน ร่วง 1.9% หลังตกลงขายหุ้น 49% ในฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งแห่งหนึ่งของเยอรมนีวงเงิน 700 ล้านยูโร (700 ล้านดอลลาร์)
หุ้นคิออน ซึ่งผลิตยกของเยอรมนี ร่วงลง 29.7% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี หลังเตือนเกี่ยวกับผลกำไร ขณะที่บริษัทเผชิญปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนที่สูงขึ้น