ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันพฤหัสบดี (15 ก.ย.) โดยหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุด ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกับภาวะเงินเฟ้อที่ระดับสูง และแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 414.78 จุด ลดลง 2.73 จุด หรือ -0.65%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,157.84 จุด ลดลง 64.57 จุด หรือ -1.04%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,956.66 จุด ลดลง 71.34 จุด หรือ -0.55% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,282.07 จุด เพิ่มขึ้น 4.77 จุด หรือ +0.07%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงต่อเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงจากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์นั้นได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.1%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วง 1.8% และลากดัชนี STOXX 600 ลงมากที่สุด โดยนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มนี้ เนื่องจากคาดว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงจะกดดันผลประกอบการในอนาคตของหุ้นกลุ่มนี้
ตลาดยังคงถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ระดับสูงในสหรัฐ และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในสัปดาห์หน้า ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เช่นกันในเดือนนี้ และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
แต่หุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป ปรับตัวขึ้น 1.7% สวนทางตลาด โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดยมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยระบุว่าราคาหุ้นยังคงต่ำกว่ามูลค่า และผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัว
ส่วนหุ้นรายตัวที่ปรับตัวลง อาทิ หุ้นเอชแอนด์เอ็ม (H&M) ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าแฟชั่นของสวีเดน ร่วงลง 4.7% หลังเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสที่ต่ำกว่าคาด เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง ท่ามกลางภาวะราคาพลังงานและอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น และเอชแอนด์เอ็มยังเผชิญกับความยากลำบากในการแข่งขันกับซาร่าซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งด้วย