ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลง 1.6% ในวันศุกร์ (16 ก.ย.) เนื่องจากการเตือนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก และการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้าได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขาย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 408.24 จุด ลดลง 6.54 จุด หรือ -1.58% และปรับตัวลง 2.9% ในสัปดาห์นี้รุนแรงที่สุดในรอบ 3 เดือน
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,077.30 จุด ลดลง 80.54 จุด หรือ -1.31%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,741.26 จุด ลดลง 215.40 จุด หรือ -1.66% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,236.68 จุด ลดลง 45.39 จุด หรือ -0.62%
หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวลง ยกเว้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยกลุ่มอุตสาหกรรม, กลุ่มเฮลท์แคร์ และกลุ่มการเงิน ร่วงลงมากที่สุด
หุ้นกลุ่มไปรษณีย์และกลุ่มโลจิสติกส์ ร่วงลง หลังบริษัทเฟดเอกซ์ คอร์ปของสหรัฐถอนการคาดการณ์ผลประกอบการปีหน้า ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงทั่วโลก
หุ้นดอยซ์โพสต์และหุ้นรอยัล เมล์ ร่วงลงราว 4-8%
ธนาคารโลกเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากธนาคารกลางต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวในไตรมาส 3 ปีนี้
หุ้นยูนิเปอร์ ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้าก๊าซของเยอรมนี ร่วงลง 1.7% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการที่รัสเซียหยุดส่งก๊าซธรรมชาติผ่านท่อนอร์ดสตรีม 1 เมื่อต้นเดือนนี้
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง 1.7% แล้วในเดือนก.ย. และมีแนวโน้มติดลบเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น รวมถึงวิกฤตด้านพลังงานและค่าครองชีพในยุโรป
บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 3 หลังปรับขึ้นแล้ว 2.25% ในปีนี้