ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันจันทร์ (26 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายหุ้นออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังธนาคารกลางต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่ตลาดหุ้นอิตาลีปิดบวกสวนทางตลาดหุ้นอื่น ๆ ในยุโรป หลังจากพรรคบราเธอร์ส ออฟ อิตาลี ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดของนางจอร์เจีย เมโลนี ชนะการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ (25 ก.ย.)
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับ 388.75 จุด ลดลง 1.65 จุด หรือ -0.42%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,769.39 จุด ลดลง 14.02 จุด หรือ -0.24%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,227.92 จุด ลดลง 56.27 จุด หรือ -0.46% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,020.95 จุด เพิ่มขึ้น 2.35 จุด หรือ +0.03%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงใกล้ระดับต่ำสุดในเดือนธ.ค. 2563 หลังร่วงลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในยุโรป และการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เทรดเดอร์คาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ หลังเงินปอนด์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ จากการเปิดเผยมาตรการด้านการคลังของอังกฤษเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นอิตาลีปรับตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มการเงินหนุนตลาด หลังพรรคกลาง-ขวาชนะการเลือกตั้งใน 2 สภา ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้การเมืองอิตาลีมีเสถียรภาพ
ส่วนตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเยอรมนีลดลงเกินคาดในเดือนก.ย.
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง 6.4% แล้วในเดือนนี้ และมีแนวโน้มปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นออกมาท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับราคาพลังงานและค่าครองชีพสูง ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบต่อการขนส่งก๊าซ และตลาดยังถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางต่าง ๆ เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
หุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มเฮลท์แคร์ และกลุ่มปลอดภัย นำตลาดปรับตัวลง