ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันศุกร์ (7 ต.ค.) หลังจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้เกิดความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ระดับสูง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 391.67 จุด ลดลง 4.68 จุด หรือ -1.18% แต่ยังคงปรับตัวขึ้นเกือบ 1% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1 เดือน
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,866.94 จุด ลดลง 69.48 จุด หรือ -1.17%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,273.00 จุด ลดลง 197.78 จุด หรือ -1.59% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,991.09 จุด ลดลง 6.18 จุด หรือ -0.09%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ย. และอัตราการว่างงานลดลง ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ในเดือนพ.ย.
ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งก็ทำให้ตลาดวิตกว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากเพื่อควบคุมเงินเฟ้อในยูโรโซน
บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย.ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีหน้า เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ร่วงลง 4.3% ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมร่วงลง 2.4% และ 2.3% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปในยุโรป อาทิ อินฟิเนียน และบีอี เซมิคอนดักเตอร์ ร่วงลงราว 3-7% หลังซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้ และเอเอ็มดี บริษัทผลิตชิปของสหรัฐ ส่งสัญญาณว่า ความต้องการชิปที่ลดลงนั้น อาจรุนแรงเกินคาด
หุ้นอาดิดาสของเยอรมนี ร่วงลง 5.2% หลังบริษัททบทวนการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ คานเย เวสต์ นักร้องเพลงแรปและนักออกแบบแฟชั่นของสหรัฐ
แต่หุ้นโรโนลต์ของฝรั่งเศส พุ่งขึ้น 4.9% หลังธนาคาร ODDO BHF ปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนหุ้นเรโนลต์
หุ้นเครดิต สวิส พุ่ง 5.4% หลังเปิดเผยว่าจะซื้อคืนหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์วงเงิน 3 พันล้านฟรังก์สวิส (3 พันล้านดอลลาร์)