ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันจันทร์ (10 ต.ค.) เป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน โดยปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอังกฤษที่พุ่งขึ้นถ่วงตลาดลงด้วย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,959.31 จุด ลดลง 31.78 จุด หรือ -0.45%
ตลาดปรับตัวลงต่อจากเมื่อวันศุกร์ ซึ่งถูกกดดันจากข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งบดบังความหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1% ตามราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษร่วงลงจากแรงเทขาย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า นักลงทุนยังไม่เชื่อมั่นกับการผลักดันของนายควาซี ควาร์เต็ง รมว.คลังอังกฤษที่จะหนุนความน่าเชื่อถือด้านการคลัง และแม้ว่าธนาคารกลางอังกฤษได้เพิ่มปริมาณการซื้อคืนพันธบัตรสูงสุดในวันจันทร์ ท่ามกลางความวิตกว่ามาตรการฉุกเฉินที่จะลดความผันผวนของตลาดพันธบัตรรัฐบาลนั้นจะสิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้
ปัจจัยที่ถ่วงตลาดทั่วโลกได้แก่ เหตุระเบิดในกรุงเคียฟเมืองหลวงของยูเครนและเมืองอื่น ๆ ซึ่งดูเหมือนเป็นการแก้แค้นของรัสเซีย หลังประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินประกาศว่า เหตุระเบิดบนสะพานที่เชื่อมต่อกับไครเมียนั้นเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้าย
บริษัทพลังงานของอังกฤษ อาทิ เซนตริกา และแดรกซ์ ร่วงลง 2.7% และ 4.9% ตามลำดับหลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า รัฐบาลอังกฤษกำลังเร่งดำเนินการเกี่ยวกับแผนจำกัดรายได้ของผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน
แต่หุ้นดีเอส สมิธ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกระดาษแข็ง พุ่งขึ้น 12.1% สวนทางตลาด หลังคาดการณ์ผลประกอบการทั้งปีสูงเกินคาด โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของรายได้ที่แข็งแกร่งและการปรับลดต้นทุน