ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันอังคาร (11 ต.ค.) เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางต่าง ๆ เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 387.95 จุด ลดลง 2.17 จุด หรือ -0.56%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,833.20 จุด ลดลง 7.35 จุด หรือ -0.13%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,220.25 จุด ลดลง 52.69 จุด หรือ -0.43% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,885.23 จุด ลดลง 74.08 จุด หรือ -1.06%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ และร่วงลง 3.7% แล้วในรอบ 5 วันทำการที่ผ่านมา หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้เกิดความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อไป ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ตลาดยังถูกกดดันจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ลง และเตือนว่า ภาวะต่าง ๆ อาจย่ำแย่ลงอย่างมากในปีหน้า
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับผลกระทบจากข่าวที่ว่า เซี่ยงไฮ้และเมืองอื่น ๆ ในจีนได้เพิ่มมาตรการตรวจหาเชื้อและมาตรการจำกัดต่าง ๆ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นของโรคโควิด-19
นอกเหนือจากความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในยุโรปและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน นักลงทุนจะจับตาการรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะบ่งชี้ถึงผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงิน และแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
หุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง โดยกลุ่มการเงินและเทคโนโลยีถ่วงตลาดลงมากที่สุด ส่วนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ปรับตัวขึ้น 0.6% สวนทางตลาด