ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันพุธ (12 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ขณะที่การเปิดเผยผลประกอบการที่ไร้ทิศทางของบริษัทจดทะเบียนทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มผลกำไรของบริษัทต่าง ๆ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 385.88 จุด ลดลง 2.07 จุด หรือ -0.53% โดยลดลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,818.47 จุด ลดลง 14.73 จุด หรือ -0.25%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,172.26 จุด ลดลง 47.99 จุด หรือ -0.39% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,826.15 จุด ลดลง 59.08 จุด หรือ -0.86%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง หลังสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ย. ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และนักลงทุนจะรอการเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย.ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อและทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป โดยข้อมูลจาก Refintiv IBES คาดว่าบริษัทยุโรปจะรายงานผลกำไรไตรมาส 3/2565 เพิ่มขึ้น 29.4% ลดลงเล็กน้อยจากที่คาดไว้ในช่วงต้นเดือนต.ค.ว่าอาจเพิ่มขึ้น 33.2%
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง 1.5% แล้วในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกของธนาคารกลางต่าง ๆ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับสูง และการเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
หุ้นกลุ่มการเงิน, กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอุตสาหกรรม ถ่วงตลาดลงมากที่สุด
หุ้นฟิลิปส์ของเนเธอร์แลนด์ ร่วงลง 12.3% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี หลังเปิดเผยว่า ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานจะกระทบยอดขาย
หุ้นเครดิตสวิส ร่วงลง 4.2% หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังสอบสวนว่า เครดิตสวิสยังคงช่วยลูกค้าในสหรัฐหลบซ่อนทรัพย์สินจากการตรวจสอบของทางการหรือไม่ ซึ่งนับเป็นเวลา 8 ปีแล้วที่เครดิตสวิสจ่ายเงินยุติคดีหลบเลี่ยงภาษี 2.6 พันล้านดอลลาร์
ส่วนหุ้นหลุยส์วิตตอง ปรับตัวขึ้น 1.9% สวนทางตลาด หลังคาดการณ์ยอดขายไตรมาส 3/2565 สูงเกินคาด