ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (13 ต.ค.) โดยตลาดดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่เข้าทดสอบในการซื้อขายช่วงเช้า หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดซึ่งตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อไป
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 389.15 จุด เพิ่มขึ้น 3.27 จุด หรือ +0.85%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,879.19 จุด เพิ่มขึ้น 60.72 จุด หรือ +1.04%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,355.58 จุด เพิ่มขึ้น 183.32 จุด หรือ +1.51% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,850.27 จุด เพิ่มขึ้น 24.12 จุด หรือ +0.35%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวผันผวนตลอดทั้งวันก่อนปิดตลาดในแดนบวก หลังร่วงลง 6 วันติดต่อกัน โดยตลาดร่วงลงในช่วงเช้าหลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาดในเดือนก.ย. ซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ในการประชุมเดือนหน้า
ตลาดได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลอังกฤษกำลังหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงแผนการด้านการคลังที่ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วซึ่งกระตุ้นให้มีการเทขายพันธบัตรอังกฤษ
นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2565 ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อดูว่าธุรกิจต่าง ๆ รับมือกับแรงกดดันด้านต้นทุนอย่างไร รวมถึงแนวโน้มธุรกิจท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
หุ้นกลุ่มการเงินหนุนตลาดขึ้นมากที่สุด ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ฟื้นตัว 0.3%
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอุตสาหกรรมได้ช่วยหนุนตลาดด้วย
หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตชิป อาทิ อินฟิเนียน และเอเอสเอ็มแอล ปรับตัวขึ้น 0.9-3%
หุ้นนอร์สก ไฮโดร บริษัทผลิตอะลูมิเนียมของนอร์เวย์ พุ่ง 6.7% หลังมีรายงานว่า สหรัฐกำลังพิจารณาจำกัดการนำเข้าอะลูมิเนียมจากรัสเซีย