ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (20 ต.ค.) เนื่องจากข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐและการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้นักลงทุนกังวลว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกต่อไป ซึ่งอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญภาวะถดถอย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,333.59 จุด ลดลง 90.22 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,665.78 จุด ลดลง 29.38 จุด หรือ -0.80% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,614.84 จุด ลดลง 65.66 จุด หรือ -0.61%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 230,000 ราย นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ต่ำกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ
นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียกล่าวว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาแทบไม่สามารถสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ ดังนั้นเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยเขามองว่าเฟดควรจะปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าระดับ 4% ภายในปลายปีนี้
ทั้งนี้ ข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งและการแสดงความเห็นของนายฮาร์เกอร์ได้สนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเดือนพ.ย.และธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% จำนวน 5 ครั้งติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้น 0.75% ในเดือนมิ.ย.,ก.ค.และก.ย. ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะพุ่งแตะระดับ 4.50-4.75% ในสิ้นปีนี้
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มอุตสาหกรรม โดยหุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี ร่วงลง 2.31 หุ้นพอร์ทแลนด์ เจเนอรัล อิเล็กทริก ร่วงลง 2.01% หุ้นฮันนีเวลล์ ลดลง 0.91% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2.1%
หุ้นเทสลา ร่วงลง 6.65% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 2.145 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.196 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี หุ้นไอบีเอ็ม พุ่งขึ้น 4.68% และหุ้นเอที แอนด์ ที ทะยานขึ้น 7.72% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 3 และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มรายได้ในปีงบการเงิน 2565
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ มาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 1.5% สู่ระดับ 4.71 ล้านยูนิตในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2555 และเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -8.7 ในเดือนต.ค. จากระดับ -9.9 ในเดือนก.ย. อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -5.0