ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 200 จุด ขณะที่นักลงทุนกังวลต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ณ เวลา 19.29 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 221 จุด หรือ 0.73% สู่ระดับ 30,132 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ฟิวเจอร์ร่วงลง 0.8% และดัชนี Nasdaq ฟิวเจอร์ดิ่งลง 1.29%
ราคาหุ้นของบริษัท Snap ซึ่งเป็นเจ้าของแอปพลิเคชัน Snapchat ดิ่งลงเกือบ 30% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัท
Snap เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้ 1.13 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.14 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ Snap สร้างความตื่นตระหนกต่อนักลงทุน โดยคาดว่าจะไม่มีการขยายตัวของรายได้ในไตรมาส 4 สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่ารายได้จะพุ่งขึ้น 7%
ตลาดยังถูกกดดันจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาแทบไม่สามารถสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ ดังนั้นเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
"เราต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากเรารู้สึกผิดหวังต่อการขาดความคืบหน้าในการสกัดเงินเฟ้อ ผมคาดว่าเราต้องปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่าระดับ 4% ภายในปลายปีนี้" นายฮาร์เกอร์กล่าว
นายฮาร์เกอร์ระบุว่า เฟดจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า และจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง และหลังจากนั้น เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนพ.ย.และธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% จำนวน 5 ครั้งติดต่อกัน หลังจากปรับขึ้น 0.75% ในเดือนมิ.ย.,ก.ค.และก.ย. ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะพุ่งแตะระดับ 4.50-4.75% ในสิ้นปีนี้