ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 700 จุดในวันศุกร์ (21 ต.ค.) ขานรับรายงานข่าวที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะหารือกันเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลงในเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มความหวังว่าเฟดอาจจะดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกน้อยลง
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,082.56 จุด พุ่งขึ้น 748.97 จุด หรือ +2.47%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,752.75 จุด พุ่งขึ้น 86.97 จุด หรือ +2.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,859.72 จุด พุ่งขึ้น 244.87 จุด หรือ +2.31%
ดัชนีทั้ง 3 ตัวปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 4 เดือน โดยในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 4.89%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 4.74% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 5.22%
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยหุ้นกลุ่มวัสดุพุ่ง 3.46% ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.92%
ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น หลังหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า เจ้าหน้าที่เฟดบางรายได้เริ่มแสดงความต้องการที่จะชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ และเตรียมส่งสัญญาณถึงแผนการที่จะอนุมัติการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ลดลงในเดือนธ.ค.
นางแมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มหารือเกี่ยวกับการชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเกินไป
นอกจากนี้ นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟดสาขาชิคาโกระบุว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่เหนือระดับ 4.5% เพียงเล็กน้อยในต้นปีหน้า และคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับดังกล่าวหลังจากนั้น
ด้านบรรดานักวิเคราะห์ได้คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมครั้งที่ 4 ติดต่อกันในเดือนพ.ย.
ที่ผ่านมานั้นตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญแรงกดดัน เนื่องจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อพยายามควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งได้เพิ่มความวิตกว่า การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
ตลาดหุ้นนิวยอร์กฟื้นตัวขึ้นจากการร่วงลงในการซื้อขายช่วงเช้า ซึ่งถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นสแนป เจ้าของแอปพลิเคชันสแนปแชต หลังเปิดเผยรายได้รายไตรมาสที่เพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากบรรดาผู้โฆษณาปรับลดการใช้จ่าย อันเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อและความวิตกด้านภูมิรัฐศาสตร์
สำหรับหุ้นรายตัวที่พุ่งขึ้นได้แก่ หุ้นชลัมเบอร์เกอร์ ทะยานขึ้น 10.33% ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 2.76% หลังบริษัทรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่สูงกว่าคาด
หุ้นอินเทล พุ่ง 3.41% หลังเปิดเผยว่าบริษัทวางแผนที่จะประกาศปลดพนักงานในเดือนพ.ย.
ส่วนหุ้นลบสวนทางตลาดได้แก่ หุ้นสแนปซึ่งปิดตลาดร่วงลง 28.08% และส่งผลถ่วงหุ้นอื่น ๆ ที่พึ่งพารายได้จากการโฆษณาอย่างมากลงด้วย อาทิ หุ้นเมตา แพลตฟอร์ม อิงค์ ร่วง 1.16% และหุ้นพินเทอเรสต์ ร่วง 6.40%
นอกจากนี้ หุ้นอื่น ๆ ที่ร่วงลง หลังการรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่น่าผิดหวังได้แก่ หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ร่วงลง 1.67% และหุ้นเวอไรซอน คอมมิวนิเคชัน ร่วง 4.46%
ในสัปดาห์นี้ ตลาดจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัททวิตเตอร์, ไมโครซอฟท์ คอร์ป, อัลฟาเบท และแอปเปิล
ข้อมูลจากรีฟินิทิฟ (Refinitiv) คาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทในดัชนี S&P500 จะขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ระดับ 2.8%