ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (28 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างมาก ซึ่งได้ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวขึ้นจากการติดลบในช่วงเช้าหลังถูกกดดันจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง และการเปิดเผยผลประกอบการที่เป็นไปอย่างไร้ทิศทาง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 410.76 จุด เพิ่มขึ้น 0.57 จุด หรือ +0.14% ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 5 สัปดาห์
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,273.05 จุด เพิ่มขึ้น 29.02 จุด หรือ +0.46%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,243.33 จุด เพิ่มขึ้น 32.10 จุด หรือ +0.24% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,047.67 จุด ลดลง 26.02 จุด หรือ -0.37%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่พุ่งขึ้นอย่างมากในวันศุกร์ หลังจากบริษัทแอปเปิลเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของฝรั่งเศสมีการขยายตัวเล็กน้อยในไตรมาส 3 และเศรษฐกิจของเยอรมนีขยายตัวมากเกินคาด และสามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในขณะนี้ แม้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและมีความวิตกเกี่ยวกับปริมาณพลังงานก็ตาม
ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 3.7% หลังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าอัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะชะลอลง และยังได้แรงหมุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่ดีกว่าคาดของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ
บริษัทเกือบครึ่งในดัชนี STOXX 600 รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาแล้ว และ 20% รายงานผลประกอบการที่สูงเกินคาด
หุ้นโอเอ็มวี (OMV) ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานของออสเตรีย พุ่งขึ้น 9.3% หลังเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าโดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันและก๊าซที่พุ่งขึ้น
หุ้นซาโนฟีซึ่งเป็นบริษัทยาของฝรั่งเศส พุ่งขึ้น 3.3 % หลังจากคาดว่าการขยายตัวของผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งสำหรับยาดูพิเซนต์ (Dupixent) ซึ่งใช้รักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงจากความวิตกเกี่ยวกับการที่จีนใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบใหม่เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง 2% หลังแอมะซอนซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของโลกปรับลดคาดการณ์ยอดขายในไตรมาส 4