ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวแคบ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในวันนี้
ณ เวลา 18.34 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 50 จุด หรือ 0.15% สู่ระดับ 32,888 จุด
นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันนี้ ซึ่งจะชี้ชะตาทิศทางการเมืองสหรัฐในช่วง 2 ปีข้างหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567
ทั้งนี้ หน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศสหรัฐจะเปิดหีบเลือกตั้งในเวลา 06.00-07.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น โดยเริ่มต้นจากคูหาเลือกตั้งในฝั่งตะวันออกของสหรัฐ ซึ่งหมายความว่าชาวอเมริกันจะเริ่มหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันนี้เวลา 18.00 น.ตามเวลาไทย
ส่วนการนับคะแนนเลือกตั้งจะเริ่มจากหน่วยเลือกตั้งทางฝั่งตะวันออกของสหรัฐ โดยจะมีการเริ่มนับคะแนนหลังปิดหีบวันนี้ในเวลา 19.00-20.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเช้าวันพรุ่งนี้ (9 พ.ย.) เวลา 07.00-08.00 น.ตามเวลาไทย
การเลือกตั้งกลางเทอมดังกล่าว ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยจะมีการชิงชัยเก้าอี้ทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจำนวน 435 ที่นั่ง รวมทั้งเก้าอี้ในวุฒิสภาจำนวน 35 ที่นั่ง จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐใน 39 มลรัฐ รวมทั้งการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอีกจำนวนมาก
หากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะเหนือพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ ก็จะทำให้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในช่วงที่เหลืออีก 2 ปีเป็นไปอย่างยากลำบาก โดยคาดว่าพรรครีพับลิกันจะขัดขวางการผ่านกฎหมายต่างๆ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นักวิเคราะห์ระบุว่า หุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะพุ่งขึ้น หากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งกลางเทอมในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากทางพรรคมีนโยบายสนับสนุนการขุดเจาะหาแหล่งพลังงานและวางท่อส่งก๊าซและน้ำมันในสหรัฐ
นอกจากนี้ คาดว่าหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพจะดีดตัวขึ้นขานรับชัยชนะของพรรครีพับลิกันเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทในกลุ่มดังกล่าวถูกกดดันจากการที่พรรคเดโมแครตผลักดันการออกกฎหมายควบคุมราคายาตามใบสั่งแพทย์
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน ซึ่งหากดัชนี CPI ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ก็อาจผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย