ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุด ทะลุแนว 33,000 จุด โดยมีการคาดการณ์ว่าชัยชนะของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นบวกต่อตลาด
ณ เวลา 22.01 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,033.88 จุด บวก 206.88 จุด หรือ 0.63%
นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งจะชี้ชะตาทิศทางการเมืองสหรัฐในช่วง 2 ปีข้างหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567
การเลือกตั้งกลางเทอมดังกล่าว ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยจะมีการชิงชัยเก้าอี้ทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจำนวน 435 ที่นั่ง รวมทั้งเก้าอี้ในวุฒิสภาจำนวน 35 ที่นั่ง จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐใน 39 มลรัฐ รวมทั้งการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอีกจำนวนมาก
นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวขึ้น หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง แต่ตลาดจะปรับตัวขึ้นไม่มาก เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนคาดการณ์ดังกล่าวแล้ว
"ตลาดจะมีปฏิกริยาไม่มากนักต่อชัยชนะของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากได้ปรับตัวรับคาดการณ์ชัยชนะในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ส่วนผลการเลือกตั้งในวุฒิสภาจะไม่สร้างความแตกต่างต่อนโยบายมากเท่ากับชัยชนะในสภาผู้แทนราษฎร" รายงานระบุ
นอกจากนี้ รายงานระบุว่า หากพรรคเดโมแครตคว้าชัยชนะ โดยครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวลง
"หากพรรคเดโมแครตสร้างเซอร์ไพรส์โดยคว้าชัยชนะทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ก็จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะผลักดันการเพิ่มอัตราภาษีต่อภาคธุรกิจต่อไป" นายแฮตซิอุซระบุในรายงาน
นอกจากนี้ รายงานระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง เนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะผลักดันมาตรการใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้เฟดคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดว่า หุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะพุ่งขึ้น หากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง เนื่องจากทางพรรคมีนโยบายสนับสนุนการขุดเจาะหาแหล่งพลังงานและวางท่อส่งก๊าซและน้ำมันในสหรัฐ
นอกจากนี้ คาดว่าหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพจะดีดตัวขึ้นขานรับชัยชนะของพรรครีพับลิกันเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทในกลุ่มดังกล่าวถูกกดดันจากการที่พรรคเดโมแครตผลักดันการออกกฎหมายควบคุมราคายาตามใบสั่งแพทย์
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน ซึ่งหากดัชนี CPI ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ก็อาจผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย