ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 400 จุด โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ขานรับคาดการณ์ชัยชนะของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มปรับตัวลง
ณ เวลา 22.45 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,233.04 จุด บวก 406.04 จุด หรือ 1.24%
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทุกกลุ่ม ยกเว้นหุ้นพลังงานที่ร่วงลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก
นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวขึ้น หากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง แต่ตลาดจะปรับตัวขึ้นไม่มาก เนื่องจากราคาหุ้นได้สะท้อนคาดการณ์ดังกล่าวแล้ว
"ตลาดจะมีปฏิกริยาไม่มากนักต่อชัยชนะของพรรครีพับลิกัน เนื่องจากได้ปรับตัวรับคาดการณ์ชัยชนะในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ส่วนผลการเลือกตั้งในวุฒิสภาจะไม่สร้างความแตกต่างต่อนโยบายมากเท่ากับชัยชนะในสภาผู้แทนราษฎร" รายงานระบุ
นอกจากนี้ รายงานระบุว่า หากพรรคเดโมแครตคว้าชัยชนะ โดยครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวลง
"หากพรรคเดโมแครตสร้างเซอร์ไพรส์โดยคว้าชัยชนะทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ก็จะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะผลักดันการเพิ่มอัตราภาษีต่อภาคธุรกิจต่อไป" นายแฮตซิอุซระบุในรายงาน
นักวิเคราะห์ระบุว่า หากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งกลางเทอมจะส่งผลให้ดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง เนื่องจากจะทำให้เฟดมีแนวโน้มชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์จะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองลดลง และช่วยลดต้นทุนการชำระหนี้ของบริษัทต่างๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเพิ่มการลงทุน และเพิ่มการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
"หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐหรือรวมทั้งวุฒิสภา ก็จะทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประสบความยากลำบากในการผลักดันมาตรการกระตุ้นทางการคลัง ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถผ่อนคันเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย" นายเดเมียน โบอีย์ หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Barrenjoey กล่าว
ส่วนนายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า เฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง เนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะผลักดันมาตรการใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้เฟดคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์คาดว่า หุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะพุ่งขึ้น หากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง เนื่องจากทางพรรคมีนโยบายสนับสนุนการขุดเจาะหาแหล่งพลังงานและวางท่อส่งก๊าซและน้ำมันในสหรัฐ
นอกจากนี้ คาดว่าหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพจะดีดตัวขึ้นขานรับชัยชนะของพรรครีพับลิกันเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทในกลุ่มดังกล่าวถูกกดดันจากการที่พรรคเดโมแครตผลักดันการออกกฎหมายควบคุมราคายาตามใบสั่งแพทย์
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค และเป็นข้อมูลที่เฟดใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน ซึ่งหากดัชนี CPI ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ก็อาจผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย