ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (11 พ.ย.) และปิดตลาดในรอบสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 8 เดือน โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากความหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ชะลอลง และจีนได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 432.26 จุด เพิ่มขึ้น 0.37 จุด หรือ +0.09%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,594.62 จุด เพิ่มขึ้น 37.79 จุด หรือ +0.58%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,224.86 จุด เพิ่มขึ้น 78.77 จุด หรือ +0.56% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,318.04 จุด ลดลง 57.30 จุด หรือ +0.78%
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 11 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มบริการการเงิน, กลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มค้าปลีกนำตลาดปรับตัวขึ้น
ตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้น 3.7% ในรอบสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากความหวังที่ว่าเฟดจะชะลออัตราการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐเดือนต.ค.ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า จีนได้ผ่อนคลายข้อจำกัดในการควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มสินค้าหรูหรา ซึ่งมีจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่
หุ้นแอร์เมส อินเทอร์เนชันแนล, หุ้นเคอริง และหุ้นหลุยส์วิตตอง พุ่งขึ้นราว 2.4-2.8%
ส่วนหุ้นริชมอนต์ พุ่ง 10.5% หลังเปิดเผยยอดขายและผลกำไรที่ดีเกินคาด
หุ้นกลุ่มทรัพยากร พุ่งขึ้น 2.6% หลังราคาโลหะพื้นฐานปรับตัวขึ้น
การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปบวกขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันด้วย โดยหุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้น อาทิ หุ้นเซลล์เน็กซ์ของสเปนซึ่งเป็นผู้ประกอบการด้านเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ที่สุดของยุโรป บวก 1.6% หลังเปิดเผยผลประกอบการ 9 เดือนพุ่งขึ้น 45%