ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (18 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มรถยนต์ ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งที่ผ่านมาของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจต่าง ๆ ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 433.33 จุด เพิ่มขึ้น 4.95 จุด หรือ +1.16%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,644.46 จุด เพิ่มขึ้น 68.34 จุด หรือ +1.04%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,431.86 จุด เพิ่มขึ้น 165.48 จุด หรือ +1.16% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,385.52 จุด เพิ่มขึ้น 38.98 จุด หรือ +0.53%
ดัชนี STOXX 600 ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ และบวกขึ้น 5.1% แล้วในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ แม้มีความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยูโรโซนก็ตาม
นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของยูโรโซนในวันที่ 23 พ.ย. ซึ่งคาดว่าจะลดลงจากเดือนต.ค. และนักลงทุนรอการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินในเดือนต.ค.ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 24 พ.ย.ด้วย
ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มรถยนต์และกลุ่มค้าปลีกซึ่งปรับตัวขึ้นมากกว่า 2.1%
หุ้นเวอร์บันด์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และหุ้นอีวีเอ็น ซึ่งให้บริการด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม พุ่งขึ้น 8.9% และ 6.4% ตามลำดับ หลังรัฐบาลออสเตรเลียประกาศแผนการที่จะเก็บภาษีลาภลอย (windfall tax) เป็นการชั่วคราวที่ระดับสูงถึง 40% จากบริษัทน้ำมันและก๊าซ รวมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้า ขณะที่ระบุว่า ภาษีดังกล่าวอาจลดลงเหลือ 33% หากบริษัทต่าง ๆ มีการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม