ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ณ เวลา 22.04 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,347.24 จุด บวก 153.18 จุด หรือ 0.45%
อย่างไรก็ดี คาดว่าการซื้อขายจะเป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยตลาดจะเปิดทำการเพียงครึ่งวัน หลังจากปิดทำการวานนี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
ทั้งนี้ รายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 1-2 พ.ย. ระบุว่า เฟดมองเห็นความคืบหน้าในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ และจะชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้า
นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ติดต่อกัน 4 ครั้งก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ตลาดได้ปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ในวันนี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนปรับลด RRR ในอัตรา 0.25% สำหรับสถาบันการเงินทุกแห่ง โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งการปรับลด RRR ดังกล่าวจะช่วยให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 5 แสนล้านหยวนในระยะยาว
นักลงทุนจับตายอดขายของห้างค้าปลีกในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า ขณะที่สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐ (NRF) เปิดเผยว่า ชาวอเมริกันราว 166.3 ล้านคนมีแผนที่จะซื้อสินค้าตั้งแต่วันขอบคุณพระเจ้าไปจนถึงวันไซเบอร์มันเดย์ในปีนี้
นายรัส มูลด์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของบริษัทเอเจ เบลล์ กล่าวว่า บริษัทค้าปลีกคาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถขายสินค้าจำนวนมากในวันแบล็กฟรายเดย์ ซึ่งจะช่วยลดสต็อกสินค้าคงคลัง
"อย่างไรก็ดี แม้ว่าการขายสินค้าดังกล่าวจะช่วยลดสต็อกคงคลัง แต่ก็อาจจะไม่ได้ทำกำไรมากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังคงถูกกดดันจากภาระทางการเงิน จึงทำให้บริษัทค้าปลีกจำเป็นต้องลดราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้า" นายมูลด์กล่าว
นอกจากนี้ ตลาดจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ของสหรัฐในวันที่ 30 พ.ย. รวมทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันที่ 2 ธ.ค.