ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัวในวันศุกร์ (25 พ.ย.) แต่ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน เนื่องจากความหวังเกี่ยวกับการชะลอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ช่วยชดเชยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นกลุ่มค้าปลีกซึ่งได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับฤดูกาลชอปปิงวันหยุดที่ซบเซา
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 440.73 จุด ลดลง 0.11 จุด หรือ -0.02%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,712.48 จุด เพิ่มขึ้น 5.16 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,541.38 จุด เพิ่มขึ้น 1.82 จุด หรือ +0.01% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,486.67 จุด เพิ่มขึ้น 20.07 จุด หรือ +0.27%
หุ้นกลุ่มค้าปลีก ลดลง 0.6% ในวัน Black Friday ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นฤดูกาลชอปปิง เนื่องจากวิกฤตค่าครองชีพย่ำแย่ลง และผู้คนกำลังให้ความสนใจกับการแข่งขันฟุตบอลโลก โดยกลุ่มค้าปลีกเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ปรับตัวแย่ที่สุดในยุโรป โดยร่วงลง 32% แล้วในปีนี้
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ร่วงลง 0.9% นำโดยหุ้นกลุ่มเคหะของอังกฤษซึ่งปรับตัวลง หลังจากการเปิดเผยผลสำรวจบ่งชี้ว่าความต้องการบ้านเช่าในอังกฤษเพิ่มขึ้นในเดือนต.ค. เนื่องจากผู้มีแนวโน้มซื้อบ้านครั้งแรกได้เลื่อนการซื้อออกไป
อย่างไรก็ตาม ดัชนี STOXX 600 พุ่งขึ้น 1.7% ในสัปดาห์นี้จากสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนนั้นออกมาดีเกินคาดในฤดูกาลนี้
ตลาดได้แรงหนุนจากข้อมูลที่เปิดเผยในวันศุกร์ระบุว่า เศรษฐกิจของเยอรมนีในไตรมาส 3 ขยายตัวขึ้นเล็กน้อยมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ขั้นต้น โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นเครดิตสวิส ร่วง 6.6% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเปิดเผยแผนเพิ่มทุนและรายงานผลประกอบการที่อ่อนแอในสัปดาห์นี้
ส่วนหุ้นร็อกวูด ซึ่งเป็นบริษัทผลิตใยหินของเดนมาร์ก พุ่งขึ้น 4% หลังมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้น