ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (29 พ.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างระมัดระวัง โดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเคมีภัณฑ์บดบังการปรับตัวขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งได้แรงหนุนจากความหวังว่า กรุงปักกิ่งอาจผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 หลังการประท้วงในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 437.29 จุด ลดลง 0.56 จุด หรือ -0.13%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,668.97 จุด เพิ่มขึ้น 3.77 จุด หรือ + 0.06%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,355.45 จุด ลดลง 27.91 จุด หรือ -0.19% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,512.00 จุด เพิ่มขึ้น 37.98 จุด หรือ +0.51%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มน้ำมันปรับตัวขึ้น 2.7% และ 1.8% ตามลำดับ โดยปรับตัวขึ้นตามราคาโลหะและน้ำมัน ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเคมีภัณฑ์ ลดลง 1.2% และ 1.7% ตามลำดับ
การทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคารได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นฝรั่งเศสและเยอรมนี
บรรดานักลงทุนยังคงซื้อขายอย่างระมัดระวังก่อนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ อาทิ ข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนในวันพุธและข้อมูลจ้างงานของสหรัฐในวันศุกร์
ส่วนข้อมูลที่เปิดเผยในวันอังคารบ่งชี้ว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสเปนและเยอรมนีลดลงอย่างมาก และผลสำรวจบ่งชี้ว่า การคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในยูโรโซนลดลงในเดือนพ.ย.จากเดือนต.ค.
บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดว่า เงินเฟ้อยูโรโซนในเดือนพ.ย.จะอยู่ที่ 10.4% ในเดือนพ.ย. ลดลงจากระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 10.6%
ดัชนี STOXX 600 มีแนวโน้มปิดตลาดเดือนพ.ย.ในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่ว่าบรรดาธนาคารกลางอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนต่อ ๆ ไป
หุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้น อาทิ หุ้นเอเอสเอ็ม อินเทอร์เนชันแนล บริษัทจำหน่ายเซมิคอนดักเตอร์ของเนเธอร์แลนด์ พุ่ง 2.9% หลังคาดว่ายอดขายในจีนจะลดลงในอัตราที่น้อยลงในไตรมาส 4 โดยได้แรงหนุนจากมาตรการจำกัดการส่งออกของสหรัฐ
หุ้นเอชเอสบีซี พุ่ง 4.4% หลังตกลงขายธุรกิจในแคนาดาให้กับรอยัล แบงก์ ออฟ แคนาดา เป็นเงินสด 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์แคนาดา (1.004 หมื่นล้านดอลลาร์)
หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่ง 5% หลังรัฐมนตรีรายหนึ่งเปิดเผยว่า อังกฤษจะอนุญาตให้ธนาคารต่าง ๆ แบกรับความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อให้ยังคงสามารถแข่งขันในธุรกิจได้