ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพฤหัสบดี (8 ธ.ค.) เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ นักลงทุนยังชะลอการซื้อหุ้น เนื่องจากวิตกเกี่ยวกับการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางรายใหญ่ อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 435.47 จุด ลดลง 0.73 จุด หรือ -0.17%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,647.31 จุด ลดลง 13.28 จุด หรือ -0.20%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,264.56 จุด เพิ่มขึ้น 3.37 จุด หรือ +0.02% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,472.17 จุด ลดลง 17.02 จุด หรือ -0.23%
หุ้นกลุ่มการเงินถ่วงตลาดลงมากที่สุด โดยหุ้นกลุ่มธนาคารลดลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน
หุ้นตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนร่วงลง 6.4% หลังยูบีเอสปรับลดราคาเป้าหมายและอันดับความน่าลงทุน
หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคร่วงลง อาทิ หุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ร่วง 3.1% หลังคาดว่าต้นทุนการเงินสุทธิจะสูงถึง 1.6 พันล้านปอนด์ (1.95 พันล้านดอลลาร์) ในปีงบการเงิน 2565 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและดอลลาร์ที่แข็งค่า
อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ที่เข้มงวดของจีนได้หนุนหุ้นกลุ่มต่าง ๆ อาทิ กลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ ซึ่งปรับตัวขึ้น 0.2% และ 1.2% ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันและโลหะที่ปรับตัวขึ้น
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วยพยุงตลาดด้วย โดยฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงติดต่อกัน 4 วัน โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์
หุ้นเครดิตสวิส พุ่งขึ้น 3.2% หลังนักลงทุนตกลงซื้อหุ้น 98.2% เพื่อเพิ่มทุน 4.3 พันล้านดอลลาร์สำหรับนำไปใช้ในการปรับโครงสร้างธนาคาร