ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดในวันพุธ (28 ธ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย, ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นในจีน และสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อไปจนถึงปี 2566
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,875.71 จุด ร่วงลง 365.85 จุด หรือ -1.10%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,783.22 จุด ลดลง 46.03 จุด หรือ -1.20% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,213.29 จุด ลดลง 139.94 จุด หรือ -1.35%
นายเกรก บาสซุค นักวิเคราะห์จากบริษัทเอเอ็กซ์เอส อินเวสต์เมนท์ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า "ไม่มีปรากฏการณ์ 'ซานต้า แรลลี่ (Santa Rally)' เกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งโดยปกติแล้วปรากฎการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนักลงทุนมีความหวังว่าจะมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการเติบโตของตลาด แต่ข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวน รวมทั้งความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19, สถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปัจจัยเหล่านี้เป็นตัวขัดขวางการเกิดปรากฎการณ์ซานต้า แรลลี่ในช่วงปลายปีนี้"
ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่" มักเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยมีขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมทั้ง 2 วันแรกของปีใหม่
ขณะเดียวกันการเปิดประเทศของจีนยังทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดในวงกว้างของโควิด-19 รวมทั้งจะส่งผลให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น โดยนายไอเปค ออซคาร์เดสคายา นักวิเคราะห์อาวุโสของ Swissquote Bank กล่าวว่า "ถ้าการเปิดประเทศของจีนเป็นปัจจัยบวกสำหรับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ เรื่องนี้ก็ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเงินเฟ้อของโลกเช่นกัน เนื่องจากอุปสงค์ของจีนจะกระตุ้นเงินเฟ้อผ่านทางราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้น และธนาคารกลางทั่วโลกก็จะรับมือกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย"
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานของสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) ซึ่งระบุว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน โดยลดลง 4.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะลดลงเพียง 0.8% โดยการทำสัญญาขายบ้านได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งสูง และการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
นายไบรอัน เลวิท นักวิเคราะห์จากบริษัทอินเวสโกกล่าวว่า การปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของดัชนีการทำสัญญาขายบ้านถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังอ่อนแรงลง และบ่งชี้ถึงผลกระทบของการที่เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.2% เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์ที่อ่อนแรงลงในจีนเป็นปัจจัยฉุดราคาน้ำมันเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.64% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.49% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 3.03% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 3.03%
หุ้นเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ ร่วงลง 5.2% หลังมีรายงานว่ากระทรวงคมนาคมสหรัฐกำลังดำเนินการตรวจสอบกรณีสายการบินเซาท์เวสต์แอร์ไลน์ยกเลิกเที่ยวบินจำนวมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เพื่อพิจารณาว่าสถานการณ์ดังกล่าวอยู่ในวิสัยที่ทางสายการบินสามารถควบคุมได้หรือไม่ โดยกระทรวงระบุว่าการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมากถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแอปเปิ้ล ร่วงลง 3.07% หุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 1.57% หุ้นแอมะซอน ร่วงลง 1.47% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.03%
หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 3.3% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากราคาหุ้นดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ส่วนในปีนี้ราคาหุ้นเทสลาร่วงลงไปแล้วเกือบ 69%