ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 100 จุด หลังเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายกล่าวสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเหนือระดับ 5% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ณ เวลา 19.48 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 159 จุด หรือ 0.47% สู่ระดับ 33,511 จุด
นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูง และเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงระดับ 5.0-5.25% เพื่อขจัดอุปสงค์ส่วนเกินออกจากเศรษฐกิจ
นายบอสติกระบุว่า เฟดควรปรับขึ้นดอกเบี้ยเหนือระดับ 5.0% และคงดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลานานเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
นายบอสติกยืนยันก่อนหน้านี้ว่า เขามีความมุ่งมั่นที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง และจะยังไม่ปรับลดลง จนกว่าเงินเฟ้อจะไปสู่เป้าหมายของเฟดที่ 2%
ด้านนางแมรี ดาลี ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก ระบุเช่นกันว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าระดับ 5.0% โดยแตะระดับสูงสุดที่ 5.0-5.25% และคงดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวต่อไประยะหนึ่ง เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
นางดาลียังกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% หรือ 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.
"สิ่งที่ดิฉันสามารถพูดได้ในขณะนี้ก็คือ เฟดควรพยายามฉุดเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และในขณะเดียวกัน เฟดก็ต้องทำให้ตลาดเชื่อมั่นว่าเงินเฟ้อจะไม่ฝังรากลึกอยู่ในระบบเศรษฐกิจเป็นเวลานาน" นางดาลีกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ว่าด้วยความเป็นอิสระของธนาคารกลางในการเสวนาที่จะจัดขึ้นที่กรุงสตอกโฮล์ม เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้
ทั้งนี้ นายพาวเวลจะกล่าวสุนทรพจน์ในคืนนี้ เวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย
ก่อนหน้านี้ นายพาวเวลกล่าวในการแถลงข่าว หลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินครั้งล่าสุดในวันที่ 14 ธ.ค.2565 ว่า เฟดจะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% และขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเฟดให้ความสำคัญต่อการใช้นโยบายการเงินที่มีการคุมเข้มมากพอที่จะฉุดเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายดังกล่าว
"ไม่ว่าเราจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ใดก็ตาม เราจะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% โดยเราจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ระดับดังกล่าว และเฟดจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระยะนี้" นายพาวเวลกล่าว
ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนธ.ค. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ในปี 2565 โดยเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25%
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550
หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 หรือเทียบเท่ากับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 5.00-5.25% เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อจับตาดูผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ