ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพุธ (18 ม.ค.) โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ต่างก็ดิ่งลงเกือบ 2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,296.96 จุด ร่วงลง 613.89 จุด หรือ -1.81%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,928.86 จุด ลดลง 62.11 จุด หรือ -1.56% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,957.01 จุด ร่วงลง 138.10 จุด หรือ -1.24%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.1% ในเดือนธ.ค. ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.8% เนื่องจากผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง รวมทั้งการปรับตัวลงของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งกระทบต่อยอดขายของสถานีบริการน้ำมัน
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 6.2% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.8% และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐลดลง 0.7% ในเดือนธ.ค. หลังจากปรับตัวลง 0.6% ในเดือนพ.ย.
มิเชล เรย์โนลด์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Glenmede กล่าวว่า ข้อมูลที่มีการเปิดเผยล่าสุดทำให้นักลงทุนกังวลว่า การที่เฟดพยายามควบคุมเงินเฟ้อด้วยการใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินนั้น กำลังส่งผลให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่เจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งรวมถึงนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ และนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ ที่ออกมาเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงกว่า 5% เพื่อฉุดเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมาย
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคดิ่งลง 2.65% และดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลง 2.41% ทั้งนี้ หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ดิ่งลง 2.69% หุ้นโคคา-โคลา ร่วงลง 3.02% หุ้นคิมเบอร์ลีย์-คล้าค ร่วงลง 2.97% หุ้นพีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น ร่วงลง 1.64%
หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 3.32% หลังจากโมเดอร์นาเปิดเผยผลการทดลองวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) เพื่อป้องกันโรคไวรัสทางเดินหายใจ (RSV) ซึ่งพบว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 83.7% ในการป้องกันอาการป่วยได้อย่างน้อยสองอาการ อาทิ อาการไอและมีไข้ ในกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุ 60 ขึ้นไป โดยไวรัส RSV ก่อให้เกิดอาการคล้ายโรคหวัด แต่อาจมีอันตรายถึงชีวิตสำหรับเด็กเล็กและผู้สูงอายุ