ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 200 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ณ เวลา 21.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,111.86 จุด ลบ 185.10 จุด หรือ 0.56%
นอกจากนี้ ตลาดถูกกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่ลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 15,000 ราย สู่ระดับ 190,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 214,000 ราย
ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ
นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจ และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ด้านนายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยจะพุ่งขึ้นสูงกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ในขณะนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง
"ผมคิดว่าอัตราดอกเบี้ยจะดีดตัวสูงกว่า 5% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับสูง และสิ่งนี้จะไม่หายไปอย่างรวดเร็ว" นายไดมอนกล่าวในการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในการประชุมเดือนธ.ค.2565 เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550
หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 หรือเทียบเท่ากับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 5.00-5.25% เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อจับตาดูผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ