ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพฤหัสบดี (19 ม.ค.) หลังบวกต่อเนื่องนาน 6 วัน โดยนักลงทุนเทขายหุ้นหลังจากผิดหวังกับการรายงานผลประกอบการ, ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ และความเห็นที่สนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงินของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลาง ทำให้เกิดความวิตกว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 450.45 จุด ลดลง 7.08 จุด หรือ -1.55% ซึ่งเป็นการร่วงลงรุนแรงที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,951.87 จุด ลดลง 131.52 จุด หรือ -1.86%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,920.36 จุด ลดลง 261.44 จุด หรือ -1.72% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,747.29 จุด ลดลง 83.41 จุด หรือ -1.07%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งร่วงลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังข้อมูลบ่งชี้ว่า การผลิตของสหรัฐร่วงลงในเดือนธ.ค. และยอดค้าปลีกร่วงลงหนักที่สุดในรอบ 1 ปี
นอกจากนี้ ความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่สนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงินนั้นได้ทำให้เกิดความวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไป
ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) และนายคลาส นอต กรรมการ ECB ระบุว่า นักลงทุนประเมินต่ำเกินไปเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของ ECB ที่จะลดเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% จาก 9.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งความเห็นดังกล่าวได้ทำลายความหวังของนักลงทุนที่ว่า ECB จะชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยนำตลาดร่วงลง โดยร่วง 2.9% ขณะที่หุ้นกลุ่มเดียวกันที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลงด้วย
หุ้นกลุ่มค้าปลีก, กลุ่มอุตสาหกรรม, กลุ่มเหมืองแร่ รวมถึงกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ร่วงลงมากกว่า 2%
หุ้นดร. มาร์ตินส์ (Dr Martens) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรองเท้าบูตของอังกฤษ ร่วง 30.7% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเตือนเกี่ยวกับผลกำไรและรายได้ประจำปี
ส่วนหุ้นเรโนลต์ บริษัทผลิตรถยนต์ของฝรั่งเศส ร่วง 2.1% หลังเอชเอสบีซีปรับลดคำแนะนำลงทุนหุ้นดังกล่าวจาก "ซื้อ" เป็น "ถือ"