ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (26 ม.ค.) ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับผลกำไรที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐสนับสนุนความหวังที่ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (soft landing)
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 453.98 จุด เพิ่มขึ้น 1.91 หรือ +0.42%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,095.99 จุด เพิ่มขึ้น 52.11 จุด หรือ +0.74%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,132.85 จุด เพิ่มขึ้น 51.21 จุด หรือ +0.34% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,761.11 จุด เพิ่มขึ้น 16.24 จุด หรือ +0.21%
ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวขึ้นหลังจากติดลบ 2 วัน โดยหุ้นส่วนใหญ่ในดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีก ซึ่งพุ่งขึ้น 2.2% ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มบริการด้านการเงิน และกลุ่มธนาคาร ซึ่งบวก 1.9% และ 1.6% ตามลำดับ
หุ้นเอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิป พุ่ง 8.2% หลังเปิดเผยยอดขายไตรมาส 4 และคาดการณ์ผลประกอบการที่สูงเกินคาด ซึ่งได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
หุ้นโนเกีย บริษัทผลิตอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมของฟินแลนด์ พุ่ง 4% หลังคาดการณ์ผลกำไรจากการดำเนินงานรายไตรมาสสูงเกินคาด และคาดการณ์ยอดขายเพิ่มขึ้นในปีนี้
นอกเหนือจากการรายงานผลประกอบการ นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์หน้า
ตลาดหุ้นยุโรปทะยานขึ้นในปีนี้จากความหวังว่า ธนาคารกลางรายใหญ่จะชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ย และอาจยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในสัปดาห์หน้า เพื่อลดเงินเฟ้อสู่ระดับเป้าหมาย
ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเร็วกว่าคาดในไตรมาส 4 แต่ชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงสิ้นปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกระทบอุปสงค์
นอกจากนี้ บรรดานักลงทุนยังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่จีนเปิดประเทศ, สภาพอากาศที่ไม่หนาวจัดในยุโรป และขีดความสามารถด้านการผลิตพลังงานที่เพิ่มขึ้นในยุโรป